การประชุมออนไลน์ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของการทำงานและการสื่อสารในยุคปัจจุบัน เศรษฐกิจดิจิทัลกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและการทำงานระยะไกลก็กลายเป็นสิ่งที่ธรรมดาขึ้นในองค์กรหลายแห่ง
ด้วยเหตุนี้ การเลือกใช้ซอฟแวร์ที่เหมาะสมสำหรับการประชุมออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การประชุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเต็มประสิทธิภาพ
1. Zoom
ฟีเจอร์ที่โดดเด่น : วิดีโอและเสียงคุณภาพสูง การเข้าร่วมการประชุมที่ง่ายดาย (ผู้เข้าร่วมไม่ต้องใช้บัญชี) และสามารถใช้งานบนเว็บได้โดยไม่ต้องโหลดโปรแกรมเสริมเพิ่มเติม
ใครที่ควรใช้ : ธุรกิจทุกขนาด นักเรียนนักศึกษา และสำหรับการใช้งานส่วนตัว
จุดเด่น
- UI ที่ใช้งานง่าย
- สามารถเข้าใช้งานได้ 100 คนสำหรับแบบฟรี และแบบโปรสูงสุดที่ 300 คน
- ฟีเจอร์ มากมายรวมถึงการแชร์หน้าจอ พื้นหลังเสมือนจริง และห้องย่อยต่างๆ
จุดพิจารณา
- อาจจะมีข้อกังวลเกี่ยวกับเรื่องของความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเนื่องจากไม่มีฟังก์ชั่นที่ช่วยเกี่ยวกับความปลอดภัยเหมือนกับโปรแกรมอื่นๆ
- เวอร์ชันฟรีจำกัดเวลาการประชุมกลุ่มไว้ที่ 40 นาทีเท่านั้น
2. Microsoft Teams
ฟีเจอร์ที่โดดเด่น : สามารถใช้งานร่วมกับ Microsoft Office 365 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การประชุมมีความรวดเร็วและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ใครที่ควรใช้ : ธุรกิจที่ใช้ผลิตภัณฑ์ Microsoft Office อยู่แล้ว หรือบริษัทที่จำเป็นต้องใช้เอกสารต่างๆ ระหว่างการประชุม
จุดเด่น
- ใช้งานร่วมกับเครื่องมือ Microsoft Office ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มั่นใจได้ถึงความสะดวกสบายในการทำงาน
- เครื่องมือสื่อสารที่ครอบคลุมมากกว่าการประชุมผ่านวิดีโอ (แชท การแชร์ไฟล์ ฯลฯ)
- ความสามารถด้านวิดีโอและเสียงคุณภาพสูง
จุดพิจารณา
- UI อาจจะไม่ค่อยสะดวกมากนัก เนื่องจากออกแบบมาเพื่อใช้งานร่วมกับ Microsoft Office ดังนั้นหากใครหรือธุรกิจใดที่ไม่ได้จำเป็นต้องใช้งานซอฟแวร์เหล่านี้ก็อาจจะใช้งานได้ไม่สะดวกมากนัก
- บางครั้งจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่สเปคค่อนข้างสูง เนื่องจากมีฟีเจอร์ที่เยอะมากๆ หากคอมพิวเตอร์ที่เก่าอาจจะใช้งานแล้วมีอาการกระตุก
- ฟีเจอร์เยอะเกินไปจนอาจจะทำให้บางคนไม่สะดวกใช้งาน
3. Cisco Webex
ฟีเจอร์ที่โดดเด่น : คุณสมบัติความปลอดภัยระดับสูงและ Webex Assistant สำหรับความช่วยเหลือในการประชุมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้นในการทำงานและถือเป็นหนึ่งในซอฟแวร์ด้านการประชุมไม่กี่ตัวที่มีการนำ AI
ใครที่ควรใช้ : องค์กรขนาดใหญ่และองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย โดยเฉพาะในภาคส่วนต่างๆ เช่น การเงินและภาครัฐ เนื่องจากซอฟแวร์นี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ค่อนข้าง advanced ไม่เหมือนกับซอฟแวร์อื่นๆ ที่อาจจะเน้นฟีเจอร์การใช้งาน แต่ซอฟแวร์ตัวนี้มาพร้อมกับความปลอดภัยในระดับสูง แม้กระทั่งภาครัฐก็สามารถใช้งานได้อย่างสบายใจ
จุดเด่น
- มุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยและการเข้ารหัสข้อความ เข้ารหัสเสียงต่างๆ ทำให้ไม่สามารถถูกเจาะข้อมูลได้ง่ายๆ
- ฟีเจอร์ขั้นสูงสำหรับการสัมมนาผ่านเว็บและการฝึกอบรมขนาดใหญ่
- วิดีโอและเสียงคุณภาพสูง
จุดพิจารณา
- อาจมีราคาแพงกว่าซอฟแวร์อื่นๆ จึงเหมาะกับหน่วยงานที่ให้ความสำคัญกับการประชุมอย่างมาก ไม่เหมาะกับนักเรียนนักศึกษา หรือการใช้งานขนาดเล็ก
- อินเทอร์เฟซใช้งานค่อนข้างยาก เหมาะกับการใช้บนคอมพิวเตอร์มากกว่าบนมือถือ
4. Google Meet
ฟีเจอร์ที่โดดเด่น : สามารถใช้งานร่วมกับ Google Workspace ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับใครที่จำเป็นต้องใช้ซอฟแวร์จาก Google อยู่แล้ว
ใครที่ควรใช้ : SMEs สถาบันการศึกษา และใครก็ตามที่ใช้งานซอฟแวร์จาก Google เป็นประจำ
จุดเด่น
- อินเทอร์เฟซที่เรียบง่ายและใช้งานง่าย
- ใช้งานร่วมกับ Google Calendar และ Gmail ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ไม่จำเป็นต้องซื้อซอฟต์แวร์เพิ่มเติมสำหรับผู้ใช้ที่มีบัญชี Google
จุดพิจารณา
- คุณสมบัติน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นๆ
- จำเป็นต้องมีบัญชี Google เพื่อการใช้งานเต็มรูปแบบ
5. Skype for Business
ฟีเจอร์ที่โดดเด่น : เป็นซอฟแวร์ที่ให้บริการมาอย่างยาวนานทำให้มีความสเถียร และพนักงานหรือบุคลากรหลายๆ คนอาจจะใช้งานได้อยู่แล้ว
ใครที่ควรใช้ : ธุรกิจขนาดเล็ก นักธุรกิจ และทีมงานที่ต้องการใช้ซอฟแวร์ที่ง่ายดาย ตรงไปตรงมา
จุดเด่น
- เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและใช้งานง่าย
- ไม่กินพื้นที่ แม้ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าก็ใช้งานได้อย่างลื่นไหล
- เหมาะสำหรับทั้งมืออาชีพและส่วนบุคคล
จุดพิจารณา
- ฟีเจอร์ที่จำกัดเมื่อเทียบกับซอฟแวร์การทำงานอื่นๆ
- คุณภาพเสียงและคุณภาพวิดิโอไม่สูงมากเมื่อเทียบกับซอฟแวร์อื่นๆ