ประเภทของงานเชื่อมมีอะไรบ้าง ข้อดี-ข้อเสียของแต่ละเทคนิคที่ควรรู้

by pam
32 views

งานเชื่อมเป็นกระบวนการที่สำคัญในอุตสาหกรรมการผลิต การก่อสร้าง และงานซ่อมบำรุง ซึ่งช่วยให้วัสดุโลหะสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างแข็งแรงและถาวร การเลือกประเภทของงานเชื่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ชนิดของโลหะ ความหนาของชิ้นงาน สภาพแวดล้อมในการทำงาน และคุณสมบัติของรอยเชื่อมที่ต้องการ

งานเชื่อม คืออะไร ?

งานเชื่อม (Welding) คือกระบวนการเชื่อมต่อโลหะหรือวัสดุชนิดอื่นเข้าด้วยกันโดยใช้ความร้อน แรงดัน หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน เพื่อทำให้ชิ้นงานหลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียว กระบวนการเชื่อมอาจใช้ตัวเติม (Filler Material) เพื่อช่วยสร้างรอยเชื่อมที่แข็งแรงและสมบูรณ์มากขึ้น งานเชื่อมเป็นเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการก่อสร้าง อุตสาหกรรมการบิน และการซ่อมบำรุงโครงสร้างโลหะ

งานเชื่อมสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับเทคนิคและอุปกรณ์ที่ใช้ โดยแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ซึ่งการเลือกใช้วิธีเชื่อมที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้งานที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด

ก่อนทำงานเชื่อมไม่ว่าประเภท ไหนต้องมีการขอ Hot Work Permit ก่อนปฏิบัติงาน ซึ่งจุดนี้จะเป็นหน้าที่ของผู้เฝ้าระวังไฟ

ประเภทของงานเชื่อม มีอะไรบ้าง

1. การเชื่อมด้วยแก๊ส (Oxy-Fuel Welding – OFW)

การเชื่อม OFW เป็นกระบวนการเชื่อมที่ใช้เปลวไฟจากการเผาไหม้ของก๊าซเชื้อเพลิงร่วมกับออกซิเจน เพื่อให้เกิดความร้อนสูงพอที่จะหลอมละลายโลหะและเชื่อมติดกัน กระบวนการนี้เป็นหนึ่งในวิธีการเชื่อมที่เก่าแก่ และยังคงได้รับความนิยมในการเชื่อมโลหะบางประเภท เช่น ทองแดง ทองเหลือง และอะลูมิเนียม

หลักการทำงานของ OFW

  1. จ่ายแก๊สเชื้อเพลิงและออกซิเจน – ใช้ก๊าซอะเซทิลีน (Acetylene) หรือก๊าซอื่นๆ เช่น โพรเพน ร่วมกับออกซิเจน
  2. จุดไฟให้เกิดเปลวไฟร้อนสูง – ควบคุมอัตราส่วนของออกซิเจนและเชื้อเพลิงเพื่อให้ได้เปลวไฟที่เหมาะสม
  3. หลอมละลายชิ้นงาน – ใช้เปลวไฟให้ความร้อนแก่โลหะจนถึงจุดหลอมเหลว
  4. เติมลวดเชื่อม (ถ้าจำเป็น) – ลวดเชื่อมช่วยเสริมเนื้อโลหะและทำให้รอยเชื่อมแข็งแรงขึ้น
  5. ปล่อยให้โลหะเย็นตัวลง – แนวเชื่อมแข็งตัวและเชื่อมติดกัน

ข้อดี:

  • สามารถควบคุมความร้อนได้ง่าย
  • ใช้เชื่อมโลหะบางได้ดี
  • อุปกรณ์พกพาสะดวก

ข้อเสีย:

  • อัตราการเชื่อมช้า
  • ไม่เหมาะกับโลหะหนาหรือโลหะที่มีจุดหลอมเหลวสูง

การเชื่อมอาร์คโลหะด้วยมือ

2. การเชื่อมอาร์คโลหะด้วยมือ (Shielded Metal Arc Welding – SMAW)

การเชื่อม SMAW หรือที่เรียกกันว่า “การเชื่อมไฟฟ้า” เป็นกระบวนการเชื่อมที่ใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อสร้างอาร์คระหว่างลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ (Electrode) กับชิ้นงานโลหะ ความร้อนที่เกิดจากอาร์คจะหลอมละลายโลหะและฟลักซ์เพื่อสร้างแนวเชื่อมที่แข็งแรง

หลักการทำงานของ SMAW

  1. สร้างอาร์คไฟฟ้า – เชื่อมโดยใช้กระแสไฟฟ้าทำให้เกิดอาร์คระหว่างลวดเชื่อมและชิ้นงาน
  2. หลอมละลายโลหะ – ความร้อนจากอาร์คจะทำให้ลวดเชื่อมและชิ้นงานหลอมรวมกัน
  3. ฟลักซ์ช่วยปกป้องแนวเชื่อม – ฟลักซ์ที่หุ้มลวดเชื่อมจะละลายและสร้างก๊าซปกคลุมแนวเชื่อม ช่วยลดการปนเปื้อนจากอากาศ
  4. เกิดสแลก (Slag) – เศษฟลักซ์ที่แข็งตัวจะช่วยป้องกันแนวเชื่อมจากการออกซิไดซ์ หลังเชื่อมเสร็จต้องขจัดออก

ข้อดี:

  • ใช้งานง่ายและมีอุปกรณ์ไม่ซับซ้อน
  • สามารถใช้งานในที่โล่งแจ้งได้
  • เหมาะกับงานเชื่อมโครงสร้างและงานซ่อมบำรุง

ข้อเสีย:

  • ต้องเปลี่ยนอิเล็กโทรดบ่อย
  • มีสะเก็ดและควันเยอะ
  • อัตราการเชื่อมต่ำเมื่อเทียบกับการเชื่อมแบบอื่น

3. การเชื่อม MIG/MAG (Gas Metal Arc Welding – GMAW)

การเชื่อม MIG (Metal Inert Gas) และ MAG (Metal Active Gas) หรือที่เรียกรวมกันว่า GMAW (Gas Metal Arc Welding) เป็นกระบวนการเชื่อมที่ใช้ลวดเชื่อมชนิดต่อเนื่อง (Wire Electrode) และก๊าซปกคลุมเพื่อป้องกันแนวเชื่อมจากการปนเปื้อนของอากาศ

  • MIG (Metal Inert Gas Welding) – ใช้ก๊าซเฉื่อย เช่น อาร์กอน (Ar) หรือฮีเลียม (He) เหมาะกับอลูมิเนียม ทองแดง และโลหะไม่เป็นสนิม
  • MAG (Metal Active Gas Welding) – ใช้ก๊าซกึ่งเฉื่อย เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) หรือส่วนผสมของ CO₂ และอาร์กอน เหมาะกับเหล็กกล้า

หลักการทำงานของ GMAW

  1. ปล่อยลวดเชื่อมอย่างต่อเนื่อง – ใช้ลวดเชื่อมเป็นอิเล็กโทรดแทนธูปเชื่อม
  2. สร้างอาร์คไฟฟ้า – ลวดเชื่อมสัมผัสชิ้นงานและเกิดอาร์คความร้อนสูง
  3. ก๊าซปกคลุมแนวเชื่อม – ก๊าซเฉื่อยหรือกึ่งเฉื่อยช่วยป้องกันแนวเชื่อมจากออกซิเจนและไนโตรเจน
  4. หลอมละลายและรวมโลหะเข้าด้วยกัน – ได้แนวเชื่อมที่แข็งแรงและเรียบเนียน
  5. ไม่มีสแลก (Slag-Free Welding) – ไม่ต้องขจัดเศษฟลักซ์เหมือน SMAW

ข้อดี:

  • เชื่อมได้เร็ว
  • รอยเชื่อมเรียบและสวยงาม
  • เหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรม

ข้อเสีย:

  • อุปกรณ์มีความซับซ้อน
  • ไม่เหมาะกับการใช้งานในที่ลมแรง

4. การเชื่อม TIG (Gas Tungsten Arc Welding – GTAW)

การเชื่อม GTAW หรือ TIG เป็นกระบวนการเชื่อมที่ใช้ไฟฟ้าเพื่อสร้างอาร์คระหว่างลวดเชื่อมและชิ้นงาน โดยใช้แท่งทังสเตนเป็นอิเล็กโทรด ซึ่งไม่หลอมละลายและไม่ถูกใช้ในการเติมวัสดุ นอกจากนี้ยังใช้ก๊าซเฉื่อย เช่น อาร์กอน (Ar) หรือฮีเลียม (He) ในการปกคลุมแนวเชื่อมเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากอากาศ

หลักการทำงานของ TIG

  1. สร้างอาร์คไฟฟ้า – อาร์คเกิดขึ้นระหว่างแท่งทังสเตนและชิ้นงาน
  2. ใช้แท่งทังสเตน – แท่งทังสเตนไม่หลอมละลาย แต่ทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดอาร์ค
  3. ใช้ลวดเชื่อมเพิ่มเติม – เติมลวดเชื่อมเข้าไปในแนวเชื่อม (ถ้าจำเป็น)
  4. ก๊าซปกคลุม – ใช้ก๊าซเฉื่อย เช่น อาร์กอน เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและรักษาความสะอาดของแนวเชื่อม
  5. หลอมละลายชิ้นงาน – ความร้อนจากอาร์คทำให้ชิ้นงานหลอมละลายและเชื่อมติดกัน

ข้อดี:

  • ให้รอยเชื่อมคุณภาพสูง
  • ใช้กับโลหะหลายประเภท เช่น อะลูมิเนียม และสแตนเลส
  • ไม่เกิดสะเก็ดไฟ

ข้อเสีย:

  • ความเร็วในการเชื่อมต่ำ
  • ต้องใช้ทักษะสูง

การเชื่อมฟลักซ์คอร์

5. การเชื่อมฟลักซ์คอร์ (Flux-Cored Arc Welding – FCAW)

การเชื่อม FCAW เป็นกระบวนการเชื่อมที่ใช้ลวดเชื่อมที่มีฟลักซ์ภายใน ซึ่งจะละลายและทำหน้าที่ปกคลุมแนวเชื่อมระหว่างการเชื่อม กระบวนการนี้คล้ายกับการเชื่อม MIG แต่มีฟลักซ์ภายในลวดเชื่อมที่ช่วยป้องกันการปนเปื้อนจากอากาศ และเพิ่มคุณสมบัติในการเชื่อม เช่น ความแข็งแรงและการหลอมละลายที่ดีขึ้น

หลักการทำงานของ FCAW

  1. จ่ายลวดเชื่อมที่มีฟลักซ์ – ใช้ลวดที่มีฟลักซ์อยู่ภายใน ซึ่งจะหลอมละลายในระหว่างการเชื่อม
  2. สร้างอาร์คไฟฟ้า – ลวดเชื่อมสัมผัสกับชิ้นงานและเกิดอาร์คไฟฟ้าที่หลอมละลายโลหะทั้งสองด้าน
  3. ฟลักซ์ปกคลุมแนวเชื่อม – ฟลักซ์ภายในลวดจะหลอมละลายและช่วยปกป้องแนวเชื่อมจากการปนเปื้อน
  4. เติมลวด – ลวดเชื่อมจะเติมเข้าสู่แนวเชื่อมพร้อมกับการหลอมละลายของชิ้นงานเพื่อสร้างรอยเชื่อม
  5. กระบวนการที่เร็วและมีประสิทธิภาพ – สามารถเชื่อมได้เร็วและมีความทนทานสูง

ข้อดี:

  • เชื่อมได้เร็ว
  • ใช้ในงานภาคสนามได้ดี

ข้อเสีย:

  • มีสะเก็ดเชื่อมเยอะ
  • ต้องการอุปกรณ์พิเศษ

6. การเชื่อมใต้น้ำ (Submerged Arc Welding – SAW)

การเชื่อม SAW เป็นกระบวนการเชื่อมที่ใช้แหล่งไฟฟ้าในการสร้างอาร์คระหว่างลวดเชื่อมและชิ้นงาน โดยที่อาร์คจะถูกปกคลุมด้วยฟลักซ์ผงที่หลอมละลายและปกป้องแนวเชื่อมจากการปนเปื้อนจากอากาศ ข้อดีของกระบวนการนี้คือสามารถเชื่อมได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพสูง โดยไม่มีการปนเปื้อนของอากาศ

หลักการทำงานของ SAW

  1. ใช้ลวดเชื่อม – ลวดเชื่อมที่ใช้ในการเชื่อมใต้น้ำมีขนาดใหญ่ และมีฟลักซ์ผงเคลือบ
  2. สร้างอาร์คไฟฟ้า – อาร์คไฟฟ้าจะเกิดขึ้นระหว่างลวดเชื่อมและชิ้นงาน เมื่อไฟฟ้าไหลผ่าน
  3. ฟลักซ์ผงปกคลุมอาร์ค – ฟลักซ์จะหลอมละลาย ปกคลุมอาร์คและแนวเชื่อม เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากอากาศ
  4. เติมวัสดุ – ฟลักซ์ที่หลอมละลายช่วยเติมวัสดุลงในแนวเชื่อมเพื่อสร้างการเชื่อมที่แข็งแรง
  5. เชื่อมโดยไม่มีการสัมผัสกับอากาศ – ด้วยฟลักซ์ผงที่ปกคลุมทำให้การเชื่อมไม่มีการสัมผัสกับอากาศ ทำให้คุณภาพของเชื่อมสูง

ข้อดี:

  • เชื่อมได้ต่อเนื่อง
  • ให้รอยเชื่อมที่แข็งแรงและมีคุณภาพสูง

ข้อเสีย:

  • ใช้กับชิ้นงานขนาดใหญ่เท่านั้น
  • อุปกรณ์มีราคาสูง

7. การเชื่อมด้วยลำอิเล็กตรอน (Electron Beam Welding – EBW) และเลเซอร์ (Laser Beam Welding – LBW)

การเชื่อม EBW และ LBW เป็นกระบวนการเชื่อมที่ใช้ลำอิเล็กตรอนที่มีพลังงานสูงเพื่อหลอมละลายชิ้นงานและสร้างรอยเชื่อม โดยลำอิเล็กตรอนจะถูกยิงจากปืนอิเล็กตรอนลงไปยังวัสดุที่จะเชื่อม กระบวนการนี้มักจะใช้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ เช่น ภายในห้องสุญญากาศ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากอากาศ

หลักการทำงานของ EBW

  1. สร้างลำอิเล็กตรอน – ลำอิเล็กตรอนที่มีพลังงานสูงจะถูกยิงออกจากปืนอิเล็กตรอน
  2. หลอมละลายวัสดุ – ลำอิเล็กตรอนจะกระทบกับวัสดุที่ต้องการเชื่อมและหลอมละลายวัสดุนั้น
  3. การเชื่อม – ชิ้นงานจะเชื่อมกันผ่านการหลอมละลายและการเติมวัสดุเชื่อม

ข้อดี:

  • ความแม่นยำสูง
  • เหมาะกับชิ้นงานขนาดเล็กและซับซ้อน

ข้อเสีย:

  • ค่าใช้จ่ายสูง
  • ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ

ตารางเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของการเชื่อมแต่ละประเภท

ประเภทการเชื่อม ข้อดี ข้อเสีย
SMAW ใช้งานง่าย, เหมาะกับภาคสนาม มีสะเก็ดเยอะ, อัตราการเชื่อมต่ำ
OFW ควบคุมความร้อนได้ดี อัตราการเชื่อมช้า
GMAW เชื่อมได้เร็ว, รอยเชื่อมเรียบ ไม่เหมาะกับที่มีลมแรง
GTAW คุณภาพสูง, ไม่เกิดสะเก็ด เชื่อมช้า, ต้องใช้ทักษะสูง
FCAW เชื่อมได้เร็ว, ใช้งานภาคสนาม มีสะเก็ดเยอะ
SAW เชื่อมต่อเนื่อง, แข็งแรง ใช้กับชิ้นงานใหญ่เท่านั้น
EBW/LBW แม่นยำสูง ค่าใช้จ่ายสูง

ในงานที่มีการใช้งานร้อน หรืองานที่ก่อให้เกิดประกายไฟมักจะมีความเสี่ยงเกี่ยวกับอัคคีภัย ตามสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้บ่อยที่สุดในโรงงาน ปี 2567 อัคคภัยคิดเป็น 75%  ของอุบัติเหตุทั้งหมด ซึ่งหากทางโรงงานจะต้องมีการใช้เจียรไน เชื่อม ตัด หรืองานที่ทำให้มีประกายไฟขึ้นมักจะมีผู้ดูแลความปลอดภัย ทางด้านนี้โดยเฉพาะนั้นก็คือ ผู้เฝ้าระวังไฟ

อ่านเพิ่มเติม : ผู้เฝ้าระวังไฟ คือใคร

อุปกรณ์ป้องกันที่มักใช้ในงานเชื่อม

อุปกรณ์ป้องกันที่มักใช้ในงานเชื่อม

สำหรับผู้ที่ทำงานเชื่อม จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล หรือ PPE ที่ใช้สำหรับงานเชื่อมโดยเฉพาะ โดยอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมี ดังนี้:

  1. หน้ากากเชื่อม (Welding Helmet) – ป้องกันดวงตาและใบหน้าจากแสงจ้า รังสี UV และสะเก็ดไฟ
  2. แว่นตานิรภัย (Safety Glasses) – ป้องกันดวงตาจากประกายไฟและเศษโลหะ
  3. ถุงมือเชื่อม (Welding Gloves) – ป้องกันมือจากความร้อนและสะเก็ดไฟ
  4. เสื้อและกางเกงกันไฟ (Flame-Resistant Clothing) – ป้องกันร่างกายจากความร้อนและประกายไฟ
  5. ผ้าคลุมหนังหรือเอี๊ยมหนัง (Leather Apron) – เพิ่มการป้องกันบริเวณลำตัวจากสะเก็ดไฟและโลหะร้อน
  6. รองเท้านิรภัย (Safety Boots) – ป้องกันเท้าจากของหนัก ความร้อน และประกายไฟ
  7. เครื่องช่วยหายใจหรือหน้ากากกันฝุ่น (Respirator/Mask) – ลดการสูดดมควันและไอโลหะจากกระบวนการเชื่อม
  8. ที่อุดหูหรือที่ครอบหู (Ear Protection) – ลดเสียงดังจากเครื่องมือเชื่อมที่อาจส่งผลต่อการได้ยิน

การใช้อุปกรณ์ป้องกันเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานเชื่อม

สรุป

การเลือกประเภทของการเชื่อมขึ้นอยู่กับลักษณะงานและปัจจัยแวดล้อม การเชื่อม SMAW และ FCAW เหมาะกับงานภาคสนาม ขณะที่ TIG และ MIG เหมาะกับงานที่ต้องการรอยเชื่อมคุณภาพสูง ส่วน EBW และ LBW ใช้กับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง การเข้าใจข้อดี-ข้อเสียของแต่ละกระบวนการช่วยให้เลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสมที่สุด

เอกสารอ้างอิง

  • American Welding Society (AWS). (2020). Welding Handbook.
  • ASM International. (2017). Welding, Brazing, and Soldering.
  • ISO 9606-1:2017. Qualification testing of welders.

บทความที่น่าสนใจ

Smartweb แหล่งรวบรวมความรู้ที่เป็นประโยชน์ในด้านความปลอดภัยในการทำงาน เรียนรู้เรื่องน่าสนใจและเทคนิคที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง 

Copyright @2025  All Right Reserved – Designed and Developed by smartweb-ec