ในสถานที่ทำงานที่มีการใช้หรือจัดเก็บสารเคมี ความปลอดภัยในการจัดการสารเคมีเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ทั้งจากการสัมผัส การรั่วไหล การระเบิด หรือการเกิดเพลิงไหม้ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) มีบทบาทสำคัญในการประเมินความเสี่ยง กำหนดมาตรการ และส่งเสริมการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
ประเภทของสารเคมีและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
สารเคมีในสถานที่ทำงานสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามลักษณะของอันตราย เช่น
- สารเคมีอันตรายต่อสุขภาพ (Health Hazardous Chemicals):
- สารที่มีพิษ เช่น เบนซีน ที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- สารระคายเคือง เช่น แอมโมเนีย ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ
- สารเคมีไวไฟ (Flammable Chemicals):
- เช่น เมทานอล และอะซีโตน ที่สามารถติดไฟได้ง่าย
- สารเคมีกัดกร่อน (Corrosive Chemicals):
- เช่น กรดซัลฟิวริก และด่างโซเดียมไฮดรอกไซด์ ที่สามารถกัดกร่อนโลหะและเนื้อเยื่อมนุษย์
- สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Hazardous Chemicals):
- เช่น สารฟอสเฟต ที่อาจปนเปื้อนในแหล่งน้ำและทำลายระบบนิเวศ
อ้างอิง: United Nations Economic Commission for Europe (UNECE), Globally Harmonized System of Classification and Labelling of Chemicals (GHS), 2023
แนวทางการจัดการสารเคมีอย่างปลอดภัย
1. การจำแนกและติดฉลากสารเคมี (Chemical Classification and Labelling)
ตามหลักของระบบ GHS การจัดการสารเคมีเริ่มต้นด้วยการจำแนกประเภทของสารเคมีอย่างถูกต้องและการติดฉลากที่เหมาะสม ฉลากควรประกอบด้วยข้อมูลสำคัญ เช่น
- ชื่อสารเคมี
- สัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตราย
- คำเตือน (Signal Words) เช่น “อันตราย” หรือ “ระวัง”
- ข้อความระบุความเป็นอันตราย (Hazard Statements)
2. การจัดเก็บสารเคมี (Chemical Storage)
การจัดเก็บสารเคมีต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น
- เก็บสารเคมีที่มีคุณสมบัติไวไฟในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศดี
- แยกสารเคมีที่อาจเกิดปฏิกิริยารุนแรงออกจากกัน เช่น กรดกับด่าง
- ติดป้ายบ่งชี้ประเภทของสารเคมีในพื้นที่จัดเก็บ
3. ใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)
จป. ควรดำเนินการประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับการใช้งานและการจัดเก็บสารเคมีเป็นระยะ โดยใช้วิธีการ เช่น
- Hazard Identification and Risk Assessment (HIRA): ช่วยระบุและประเมินความรุนแรงของความเสี่ยง
- Job Safety Analysis (JSA): ประเมินความเสี่ยงที่เกิดจากขั้นตอนการทำงาน
4. การจัดหาอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (PPE)
พนักงานที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับสารเคมีควรได้รับ PPE ที่เหมาะสม เช่น
- ถุงมือที่ทนต่อสารเคมี
- แว่นตานิรภัย
- ชุดป้องกันสารเคมี
5. การฝึกอบรมและให้ความรู้ (Training and Education)
จป. ควรจัดฝึกอบรมให้พนักงานทราบถึงวิธีการใช้งานสารเคมีอย่างปลอดภัย วิธีการปฏิบัติในกรณีฉุกเฉิน และความสำคัญของการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัย ในจุดนี้ทางนายจ้างเอง ต้องส่งพนักงานใหม่เข้า อบรมการทำงานกับสารเคมี ก่อนจะปฏิบัติงานจริง โดยเป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย และต้องมีการทบทวนความรู้การทำงานกับสารเคมีทุกปี
นอกจากนี้ผู้ที่ทำหน้าที่ จป ในตำแหน่ง จป.หัวหน้างาน จป.บริหาร และ จป.เทคนิค เองต่างต้องผ่านการอบรมหลักสูตรในตำแหน่งงานของตนเอง พร้อมขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง ก่อนปฏิบัติงานเช่นกัน สามารถอ่านรายละเอียดหลักสูตรได้ที่นี่ >> หลักสูตร จป ตามกฎหมาย
วิธีการจัดการกรณีฉุกเฉินเกี่ยวกับสารเคมี (Emergency Response Management)
เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี เช่น สารเคมีรั่วไหล หรือสารเคมีเกิดการติดไฟลุกลาม จป. ต้องมีแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน ตัวอย่างขั้นตอนที่ควรปฏิบัติ ได้แก่
- แจ้งเหตุฉุกเฉิน: ใช้ระบบแจ้งเตือนเพื่อให้ทุกคนรับทราบ
- อพยพพนักงาน: อพยพพนักงานไปยังพื้นที่ปลอดภัย
- ควบคุมการรั่วไหล: ใช้อุปกรณ์ดูดซับสารเคมี (Spill Kit) เพื่อจำกัดการกระจาย
- ตรวจสอบสิ่งแวดล้อม: หลังควบคุมเหตุการณ์ ต้องประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
กฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสารเคมีในประเทศไทย
ในประเทศไทย มีข้อกำหนดด้านกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสารเคมี เช่น
- พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554
กำหนดให้สถานประกอบการจัดการสารเคมีอย่างปลอดภัย และให้พนักงานทุกคนได้รับความรู้เกี่ยวกับสารเคมีที่ใช้งาน - มาตรฐาน ISO 45001:2018
ส่งเสริมให้มีการประเมินความเสี่ยงและควบคุมความปลอดภัยจากสารเคมีในระบบการจัดการความปลอดภัยขององค์กร
บทบาทของ จป. ในการจัดการสารเคมี
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานมีบทบาทสำคัญในการป้องกันอันตรายจากสารเคมีในสถานที่ทำงาน ได้แก่
- การตรวจสอบความปลอดภัย: จป. ต้องดำเนินการตรวจสอบสารเคมีและพื้นที่จัดเก็บเป็นประจำ
- การวางแผนป้องกัน: จัดทำแผนควบคุมความเสี่ยงที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนของการใช้งานสารเคมี
- การสื่อสาร: จัดทำเอกสารข้อมูลความปลอดภัยสารเคมี (SDS) และให้ข้อมูลกับพนักงานทุกคน
สรุป
การจัดการสารเคมีในสถานที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญ และความเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน การปฏิบัติตามมาตรฐานสากลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการส่งเสริมการฝึกอบรมพนักงานเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้สถานที่ทำงานมีความปลอดภัยและปลอดจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากสารเคมี